ปัจจุบันการเลี้ยงแพะเป็นสัตว์ที่ไม่เลือกกินมากนัก เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะส่วนใหญ่จึงมักจะประสบกับปัญหาแพะเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและโรคพยาธิ หากไม่มีการสังเกตและการจัดการที่ดี แพะจะเจริญเติบโตได้ช้า และเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นปัญหาทำให้เกษตรกรต้องเสียเวลาและสิ้นเปลืองต้นทุนค่าอาหารและการจัดการด้านอื่นๆในการเลี้ยง ในบทความนี้จึงมีความรู้เกี่ยวกับโรคพยาธิในแพะเราไปศึกษาพร้อมๆกันเลย
พยาธิคืออะไร
โรคพยาธิ เกิดจากพยาธิ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการดำรงชีพตลอดเวลา หรือช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยการอาศัยอยู่ใน หรือบนสิ่งมีชีวิตอื่นที่เรียกว่าโฮสต์ (host) พยาธิจะ ทำให้โฮสต์เกิดอาการผิดปกติ และพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆตามตำแหน่งที่อยู่
- โรคพยาธิส่วนมากแม้จะไม่ค่อยก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง หรืออัตราการป่วยตาย สูงเมื่อเทียบกับโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสารพิษ
- โดยมักจะเป็นโรคที่มีลักษณะ เรื้อรัง แต่ก็มีหลายโรคที่ทำอันตรายรุนแรง ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
- การควบคุม ป้องกันและรักษาโรคพยาธิได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพนั้น จําเป็น ต้องรู้จักและเข้าใจพยาธิแต่ละชนิด รูปร่างลักษณะ วงจรชีวิต อาการของโรค ยาที่ใช้ในการรักษา และวิธีการป้องกัน
พยาธิมีกี่ชนิด
โรคพยาธิที่สําคัญในสัตว์ แบ่งตามประเภทของพยาธิได้เป็น 3 ชนิด
ดังนี้
- พยาธิภายใน
- พยาธิภายนอก
- โปรโตซัวและริคเคตเชีย
พยาธิภายใน
- หมายถึงพยาธิกลุ่มที่อาศัยอยู่ในร่างกายของโฮสต์ ตามอวัยวะภายในต่างๆ
- ความรุนแรงของการก่อให้เกิดโรค จึงขึ้นอยู่กับอวัยวะที่พยาธิอาศัยอยู่ พยาธิภายในแบ่งตามรูปร่างลักษณะได้เป็น 3 กลุ่มย่อย คือ
- พยาธิใบไม้
- พยาธิหัวกลม
- พยาธิตัวตืด
พยาธิภายนอก
- หมายถึงพยาธิกลุ่มที่อาศัยอยู่นอกร่างกายของโฮสต์ระยะหนึ่ง หรือ ตลอดเวลา
- ลักษณะโดยทั่วไปมักมีขาต่อกันด้วยข้อ (joint) ลําตัวห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็ง (chitin)
- ภายในลำตัวเป็นช่องเต็มไปด้วยเลือด (haemocele) ซึ่งดูดกินจากโฮสต์เป็นอาหาร ตัวอย่าง ของพยาธิภายนอกได้แก่
- แมลง
- เห็บ
- เหา
- หมัด
- ไร
โปรโตซัว
- เป็นสัตว์เซลล์เดียว มีขนาดเล็ก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ภายในมีนิวเคลียส
และอวัยวะชนิดต่างๆทำหน้าที่ในการเคลื่อนไหว กินอาหาร เมตาบอลิซึ่ม และอื่นๆ
- โปรโตซัว มีทั้งชนิดที่อยู่อย่างอิสระในธรรมชาติ และที่เป็นพยาธิอยู่ในโฮสต์
- โปรโตซัวที่สำคัญ ได้แก่
- Eimeria spp.
- Babesia spp.
- Trypanosoma spp.
ริคเคทเซีย
- เป็นจุลชีพที่ถูกจัดขึ้นอยู่ระหว่างแบคทีเรียและไวรัส อาศัยอยู่ในหรือนอก เซลล์ของโฮสต์ ในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
- ซึ่งทำหน้าที่เป็นพาหะ เซลล์ของริคเคทเซียมี รูปร่างเป็นแท่ง กลม หรือเปลี่ยนรูปเป็นแบบต่างๆ ไม่มีนิวเคลียสและอวัยวะชนิดต่างๆภายใน เหมือนโปรโตซัว ริดเคตเชียที่สําคัญได้แก่
- Anaplasma spp.
- Eperythrozoon spp.
อาการของแพะเป็นพยาธิ
การสังเกตอาการว่าแพะติดพยาธิหรือไม่ให้สังเกตดังนี้
- สีของเปลือกตา มีสีซีดหรือไม่ ถ้ามีซีด ไม่มีสีชมพู แสดงว่ามีพยาธิแล้ว
- ลักษณะของหลังว่าเป็นอย่างไร ถ้าเห็นกระดูกสันหลังชัดเจนแสดงว่าแพะเราผอม นั่นคืออีกอาการที่บ่งชี้ว่าแพะติดพยาธิ ปรกติดูแพะอ้วนหรือผอม ให้ดูบริเวณหลังไม่ใช่ดูที่ท้องแพะ
- หาง ก้น หรือขาหลัง ดูว่ามีอุจจาระเปอะเปื้อนหรือไม่ ถ้ามีเปื้อนก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าติดพยาธิ
- ขน หากขนหยอง หรือหลุดร่วง หยาบ ไม่เรียบสวย เป็นอีกอาการหนึ่งของแพะติดพยาธิ
- ดูที่คาง ถ้ามีอาการบวมน้ำก็น่าจะติดพยาธิแล้วเช่นกัน
- รวมๆแล้วแพะที่ติดพยาธิจะไม่ค่อยกินอาหาร โตช้า น้ำหนักลด อ่อนแอ ท้องเสีย ขนหยาบ
ผลเสียของการติดโรคพยาธิ
- ทำให้สัตว์เจริญเติบโตช้า แคระแกร็น
- ทำให้สัตว์มีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคอื่นแทรกซ้อนได้ง่าย และสัตว์แสดงอาการของโรคนั้นๆรุนแรงกว่าสัตว์ที่ไม่มีพยาธิ
- การทำวัคซีนป้องกันโรคไม่ได้ผลหรือสร้างภูมิคุ้มกันต่ำกว่าที่ควร
- พยาธิหลายชนิดทำให้สัตว์ป่วยรุนแรงถึงตายได้
- สัตว์ที่เป็นโรคพยาธิ ให้ผลผลิตต่ำทั้งปริมาณและคุณภาพ เช่น นม เนื้อ ไข่ หนัง
- การรักษาต้องมีค่าใช้จ่าย และสัตว์ใช้เวลาในการฟื้นตัวนานหลังการรักษา ทำให้เจ้าของสัตว์สูญเสียรายได้
- พยาธิบางชนิดทำให้สัตว์แท้งลูกได้ส่งผลให้ผลผลิตสัตว์ลดลง
- มีโปรโตซัวในระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ทั้งสองเพศ ซึ่งทำให้สัตว์เพศผู้เป็นตัวแพร่เชื้อ ไปยังสัตว์เพศเมียขณะผสมพันธุ์ ทำให้ผสมไม่ติดหรือผสมติดยาก
- แท้งระยะต้น การรักษายุ่งยาก และให้ผลไม่แน่นอน เป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มผลผลิตสัตว์ด้วย
- พยาธิบางชนิดก่อให้เกิดโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน ซึ่งเป็นปัญหาทางสาธารณสุข
การป้องกันไม่ให้สัตว์ติดพยาธิ
- หมั่นตรวจการเป็นโรคพยาธิ
- เมื่อสัตว์ติด พยาธิแล้ว รีบให้การรักษา
- ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยต่อการติดโรคพยาธิ
- การบํารุงร่างกายสัตว์หลังการกําจัดพยาธิ จะช่วยให้สุขภาพของสัตว์ดีขึ้น
- เป็นประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ยาถ่ายพยาธิแพะ
การถ่ายพยาธิ เราจะถ่ายพยาธิตามความจำเป็น ทางทฤษฎีให้ถ่ายตอนที่มีพยาธิ ถ้าไม่มีไม่ต้องถ่าย เพื่อป้องกันอาการดื้อยาของพยาธิ
ยาถ่ายพยาธิตามท้องตลาดทั่วๆไป
- กลุ่มเบนซิมิดาโซล (แบบกิน)
- อัลเบนดาโซล
- เฟนเบนดาโซล
- มีเบนดาโซล
- กลุ่มลีวามิซอล (แบบฉีด)
- กลุ่มแมคโคไซคลิก แลคโตน (แบบฉีด)
ไอเวอร์แมคติน
- กลุ่มยาที่มีส่วนผสมมมากกว่า 2 ชนิด (แบบฉีด)
ไอเวอร์เมค-เอฟ
ข้อระวังในการใช้ยาถ่ายพยาธิ
- อัลเบนดาโซน จะไม่ใช้กับแพะท้องในช่วง 3 เดือนแรก แต่ใช้ได้ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย
- เฟนเบนดาโซล และ ลีวามิซอล สามารถใช้ในแพะตั้งท้องได้
- ไอเวอร์แมคตินใช้กับแพะท้องได้ แต่ต้องระวังในการจับแพะตัวยาจะทำให้แพะแสบ และตัวยาจะถูกขับออกมาทางน้ำนมซึ่งเป็นอันตรายต่อลูกแพะ จึงไม่แนะนำให้ฉีดในช่วงท้องอ่อน หรือช่วงให้นมลูก
สมุนไพรที่ใช้ในการช่วยถ่ายพยาธิ
ซึ่งการใช้สมุนไพรจะเป็นส่วนช่วยเสริมจากยาถ่ายพยาธิที่จำหน่ายในท้องตลาด ลดการใช้ยาถ่ายพยาธิซ้ำๆ เพื่อป้องกันการดื้อยา
- บอระเพ็ด
- หมาก
- เปลือกสะเดา
- เมล็ดมะขาม
โปรแกรมถ่ายพยาธิแพะ
โปรแกรมการถ่ายพยาธิเพื่อการป้องกัน | |
ถ่ายพยาธิครั้งที่ 1 | ก่อนผสมพันธุ์ ให้ยา(ชนิดกรอก และ ฉีด) นับไป 20 วัน ก็กรอกอย่างเดียว หลังจากนั้นนับไป 3 เดือน ก็ถ่ายอีกครั้ง |
ถ่ายพยาธิครั้งที่ 2 | แพะคลอดลูกได้ 1 เดือน (นับจากวันคลอด) |
ถ่ายพยาธิครั้งที่ 3 | ถ่ายทั้งแม่และลูก |
ลูกแพะ 2 เดือน | เริ่มถ่ายพยาธิ แบบกรอก และถ่ายทุกๆ 4-8 เดือนไปจนกว่าจะครบอายุ 1 ปี |
หมายเหตุ : ก็คือ ทุก 4-8 เดือนนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในการ ติดพยาธิ พิจารณาจากในฝูงมีแพะที่มีเยื่อเมือก เปลือกตาหรือเหงือกซีด ท้องเสีย ขนยุ่ง เจริญเติบโตช้าผิดปกติซึ่งเป็นอาการของการติด พยาธิก็ถ่ายพยาธิทุก 4 เดือน
ยาถ่ายพยาธิเบเรนิล
ชื่อทางการค้า
- เบเรนิล ชนิดฉีด 7% Berenil Injection 7%
สรรพคุณ
- ยาฉีดสำหรับรักษาโรคติดเชื้อทริพาโนโซม
- เชื่อบาบีเซีย
- เชื้อไธเลอเรีย
ส่วนประกอบ
- ใน 1 มล. ประกอบด้วย ไตมินาซีน อะเซททูเรท (Diminazene Aceturate) 70 มิลลิกรัม
ข้อบ่งใช้
- ใช้รักษาโรคติดเชื้อต่างๆในวัว, แพะ, แกะ, สุกร และม้าที่เกิดจากเชื้อที่ไวต่อยา
- โรคติดเชื้อมาบีเซีย (Babesiosis) ที่เกิดจากเชื้อ B. bovis, B. bigemina, B. ovis, B. motasi, B. canis, B. equi
- โรคติดเชื้อทริพาโนโซม (Trypanosomiasis) ที่เกิดจากเชื้อ T. congolense, T. vivax, T. brucei รวมทั้งเชื้อ T. evansi
- โรคติดเชื้อไธเลอเรีย (Theilerioses) ที่เกิดจากเชื้อ T. annulata โดยใช้ยานี้ในระยะแรกของการติดเชื้อ
- โรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวทีไวต่อยานี้มากกว่า 2 ชนิดรวมกัน
ขนาดและวิธีการให้ยา
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อลึกๆ บริเวณคอ และสามารถฉีดเข้าใต้ผิวหนังได้
- ขนาดยาที่ใช้ : 5 มล. ต่อน้ำหนักตัว 100 กิโลกรัม
- ในรายที่ติดเชื้อ Tenacious Trypanosomiasis หรือการติดเชื้อโปรโตซัวที่ไวต่อยานี้มากกว่า 2 ชนิดรวมกัน และเชื้อไธเลอเรีย ควรให้ยาในขนาด 2 เท่าของ ปกติ ควรแบ่งยาฉีดในทีต่างกันหลาย ๆ แห่ง
- ในรายที่ใช้ยาในปริมาณมากเกินกว่า 20 มล. แต่ไม่เกิน 56 มล. ของขนาดยาทั้งหมด
ยาถ่ายพยาธิโนวาบาบี
ชื่อทางการค้า
- โนวาบาบี-อาร์ทียู Novababe-RTU
สรรพคุณ
- ใช้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อบาบีเซีย
- โรคติดเชื้อทริพาโนโซม
- โรคติเชื้อไธเลอเรีย หรือ ที่เรียกกันว่า ไข้เห็บ ไข้เลือดจาง หรือเรียก ภาวะเลือดจาง
ส่วนประกอบ
- Diminazene acenturate 70 มิลลิกรัม
- Phenazone 375 มิลลิกรัม
ขนาดและวิธีการใช้ยา
- ฉีดเข้าฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
- บริเวณคอ โดยดึงหนังและแทงเข็มเข้าใต้ผิวหนัง ควรเปลี่ยนเข็มทุกครั้งก่อนที่จะฉีดตัวต่อไป
- กล้ามเนื้อชั้นลึก โดยการทำการแทงเข็มตั้งฉาก เข้าบริเวณเนื้อคอ ควรเปลี่ยนเข็มทุกครั้งก่อนที่จะฉีดตัวต่อไป
- ขนาดยาที่ใช้ Diminazene acenturate 3.50 มิลลิกรัม และ Phenazone 18.75 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือ 5 ซีซี ต่อ น้ำหนัก 100 กิโลกรัม
ข้อแนะนำการให้ยา
- กรณีขนาดยารวมที่มีใช้ฉีดมากกว่า 20 มิลลิลิตร ให้แบ่งฉีดโดยแต่ละตำแหน่งที่ฉีดไม่ควรเกิน 20 มิลลิลิตร
- แต่ที่สำคัญขนาดยารวมที่ใช้ฉีดแต่ละครั้ง ต้องไม่เกิน 56 มิลลิลิตร
- เก็บที่อุณหภูมิไม่เกิน 25 องศ และให้พ้นจากแสง
- ใช้สำหรับสัตว์เท่านั้น ขนาดบรรจุ 100 ml
สมุนไพรถ่ายพยาธิแพะ
- เมื่อแพะเบื่ออาหารทำให้การเจริญเติบโตช้า ทำให้แพะผอมไม่ค่อยมีเรี่ยวมีแรง อาจเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้แพะที่อ่อนแอ อาจจะเป็นโรคอื่น ๆ ได้ง่าย
- ทำให้เกษตรกรสูญเสียรายได้จากผลผลิตที่ลดลงและเพิ่มต้นทุนค่าใช้จ่ายประสบปัญหาในทางการเลี้ยงและเพิ่มต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซื้อยา เพราะยาที่ใช้รักษาแพะในท้องตลาดจะมีราคาแพงมาก
- แต่มีบางพื้นที่มีการนำสมุนไพรภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้รักษาโรคในแพะ อีกทั้งสมุนไพรยังมีราคาถูกกว่ายาแผนปัจจุบันอีกด้วย
โดยมีสูตรสมุนไพรที่ใช้ในการถ่ายพยาธิและบำรุงแพะ
โดยมีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้
วัสดุอุปกรณ์และส่วนผสม
- น้ำ 10 ลิตร
- ลูกยอ 3 กิโลกรัม
- กากน้ำตาลบริสุทธิ์ 1 กิโลกรัม
- เกลือแกงพอประมาณ( 1 กำมือ)
- ถัง 1 ใบ (สำหรับหมัก)
- มีด 1 เล่ม
- เขียงไม้ 1 อัน
ขั้นตอนการทำ
- นำลูกยอมาล้างให้สะอาดจากนั้นหั่นลูกยอเป็นแว่นๆใช้ลูกยอสุกหรือแก่จัด
- ใส่ลูกยอลงไปในถังเทกากน้ำตาลบริสุทธิ์ตามด้วยเกลือ ปิดฝาให้มิด
- หมักทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน หรือนานกว่าก็ได้ยิ่งนานยิ่งดี
- อาทิตย์ที่ 1 ให้คนเช้า-เย็น อาทิตย์ที่ 2 ให้คนวันละ 1ครั้ง
ขั้นตอนการผสมกับน้ำให้แพะกิน
- นำน้ำหมักลูกยอที่หมักไว้แล้วมากรองเอาเพียงแต่น้ำ ประมาณ 10 ซีซี ต่อน้ำเปล่า 5 ลิตร
- มาผสมน้ำให้แพะกิน ให้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
- ส่วนกากน้ำลูกยอที่ผ่านจากการกรอกแล้ว ให้นำมาคลุกกับอาหารให้แพะกิน ให้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือเยอะกว่านั้นก็ได้
- จะทำให้แพะกินอาหารได้เพิ่มขึ้น ลดปัญหาแพะผอมแห้งไม่มีแรง และช่วยในเรื่องของการถ่ายพยาธิ สามารถใช้ได้กับแพะอายุตั้งแต่แรกเกิดขึ้นไป
ใบสาบเสือถ่ายพยาธิ
จากการใช้ใบสาบเสือในการรักษาหรือถ่ายพยาธินั้นยังไม่มีข้อมูลที่แน่นอนและเด่นชัด แต่จากที่ได้ศึกษามานั้นการใช้ใบสาบเสือถ่ายพยาธิ ส่วนใหญ่แล้วจะนำต้นสาบเสือไปต้มและนำน้ำมากินเพื่อถ่ายพยาธิ
ต้นสาบเสือ มีส่วนประกอบและสรรพคุณดังนี้
ดอกสาบเสือ
- มีสรรพคุณช่วยชูกำลัง แก้อาการอ่อนเพลีย
- ช่วยบำรุงหัวใจ
- ช่วยแก้ตาฟาง ตาแฉะ
- ช่วยแก้กระหายน้ำ
- ดอกช่วยแก้ไข้
รากสาบเสือ
- ใช้ผสมกับรากมะนาวและรากย่านาง นำมาต้มเป็นน้ำดื่มช่วยรักษาไข้ป่าได้
- ใช้เป็นยาแก้ร้อนใน
- ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง อาการท้องขึ้น ท้องเฟ้อ
- รากสาบเสือนำมาใช้ต้มเป็นน้ำดื่มช่วยแก้โรคกระเพาะได้
- ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร
ใบสาบเสือ
- นำมาใช้ต้มอาบช่วยแก้ตัวบวมได้
- ช่วยแก้บวม ช่วยดูดหนอง
- สารสกัดจากกิ่งและใบมีสารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus และ Bacillus subtilis ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหนอง
- ช่วยแก้พิษน้ำเหลือง ช่วยถอนพิษแก้อักเสบ
- ใบใช้ในการห้ามเลือด
- ใช้สมานแผล ช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น
- ช่วยรักษาแผลเปื่อย
ทั้งต้นของสาบเสือ
- ใช้เป็นยาแก้บาดทะยัก
- ใบสาบเสือ มีสารที่ช่วยยับยั้งการงอกและชะลอการเจริญเติบโตของพืชอื่น ๆ
- ช่วยแก้ผมหงอก ทำให้ผมดกดำ ด้วยการใช้ใบสาบเสือนำมาตำแล้วใช้หมักผมเป็นประจำ ไม่นานจะทำทำให้เส้นผมดูดกดำขึ้น
- ใบสาบเสือมีฤทธิ์ในการกำจัดปลวก ไล่แมลง ฆ่าแมลงได้
- ทั้งต้นและใบสามารถนำมาใช้ในการบำบัดน้ำเน่าเสียได้ ด้วยการเอาทั้งต้นและใบใส่ลงไปแช่ในบ่อน้ำเน่า เมื่อผ่านไป 2-3 สัปดาห์น้ำจะค่อย ๆ ใสขึ้นเอง
- ต้นสาบเสือมีกลิ่นแรง การใช้ในปริมาณมากนอกจากจะนำไปใช้ทำเป็นยาฆ่าแมลงแล้ว การใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำมาใช้เป็นน้ำหอมได้ดีอีกด้วย
- นอกจากนี้เรายังใช้ต้นสาบเสือเป็นตัวชี้วัดอุณหภูมิความแห้งแล้งของอากาศ ถ้าหากอากาศไม่แล้ง ต้นสาบเสือก็จะไม่ออกดอกนั่นเอง